วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

(🔞) BOSSY AND BELOVED — DOSHIN

BOSSY AND BELOVED

Dohoon x Shinyu


-----------


*ฟิคเก่าร้อยปีมาแล้วจ้า*


❗️Warning ❗️

- Rate 18+ 

- เหตุการณ์และสถานการณ์ในฟิคเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่ง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

-เรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับศิลปิน และไม่มีเจตนาทำให้ศิลปินเกิดความเสียหาย


Dohoon – ดรีม ดลภัทร

Shinyu – เชียร์ ชนินทร์

Youngjae – เจษ เจษฎา




,



“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกคนมากๆ ครับ”


สิ้นเสียงของประธานบริษัท ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมต่างก็โน้มศีรษะเป็นเชิงเคารพก่อนจะค่อยๆ ทะยอยออกจากห้องประชุมไป เชียร์—ชนินทร์นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ประธานบริษัทลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงเตรียมจะเดินออกจากห้องไป แต่เสียงของบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ทำให้เขายืนอยู่กับที่เช่นเดิมก่อน


“อีกสักพักคุณเจษจะเข้ามาติดต่อเรื่องสัญญานะครับ ผมเตรียมเอกสารทุกอย่างไว้แล้ว”


“ขอบคุณครับคุณดลภัทร เราต้องคุยกันในห้องนี้ใช่ไหม?”


“ใช่ครับ”


“งั้นผมไปเอาของที่ห้องแป๊บนึงนะ”


“ครับ”


พูดจบก็เดินออกจากห้องประชุมเพื่อไปยังห้องประจำตำแหน่งของตัวเอง เชียร์ — ชนินทร์วัย 32 ปีกับตำแหน่งประธานบริษัทที่เพิ่งรับช่วงต่อจากบิดาได้ไม่ถึงปี แม้อายุจะไม่ได้เยอะมากเหมือนกับเหล่าCEOคนอื่นๆ แต่เชียร์กลับทำหน้าที่ในส่วนนี้ได้ดีเสียจนได้รับคำชมมากมายจากเหล่าพนักงาน เชียร์ถือว่าเป็นหนุ่มธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงที่ใครๆ ต่างก็หมายปอง


คล้อยตามหลังเชียร์ก็มีร่างของเลขาหนุ่มวัย 34 ปีที่เพิ่งทำหน้าที่นี้ได้ไม่นานเดินตามอยู่ไม่ห่าง เมื่อก่อนดรีม—ดลภัทรเป็นเพียงพนักงานธรรมดาๆ คนหนึ่งในบริษัท ไม่ได้มีบทบาทหน้าที่สำคัญหรือมีหน้ามีตาอะไรมากมาย แต่หลังจากที่เชียร์รับตำแหน่งประธานบริษัทแล้ว ดรีมก็ถูกเปลี่ยนตำแหน่งให้กลายมาเป็นเลขาส่วนตัวของประธานบริษัททันที


ประตูห้องถูกล็อกโดยคนที่มาทีหลัง ก่อนเสียงถอนหายใจจะดังขึ้น แทนที่คนถอนหายใจจะเป็นเชียร์ที่ต้องทำงานคุยเรื่องสัญญาต่างๆ กับคุณเจษฎา แต่กลับเป็นดรีมที่ถอนหายใจออกมาจนเชียร์ต้องยกยิ้มด้วยความพอใจ


เขาพอใจที่ดรีมหงุดหงิด


“หงุดหงิดเหรอ?”


“บอสก็รู้ว่ามันชอบบอส”


“มันเป็นงานน่า”


ร่างบางหันกลับไปมองคนขี้หึงก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเลขาของตัวเองที่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางกดจูบเบาๆ บนอวัยวะเดียวกันเป็นเชิงง้อจากนั้นจึงระบายยิ้มบางๆ ให้คนขี้หึงสบายใจขึ้น


ดลภัทรไม่ชอบเวลาที่เจษมาที่นี่เลยมาที่นี่เลยสักนิด ผู้ชายคนนั้นมักจะส่งสายตาแพรวพราว และแสดงท่าทีอยากจะชวนเชียร์ไปกับตัวเองตลอดเวลา จะโทษฝ่ายนั้นอย่างเดียวก็ไม่ถูก ฝ่ายเชียร์เองก็ชอบส่งสายตาหวานฉ่ำสู้แถมยังพูดจาหว่านล้อมเก่งให้คนตกหลุมพรางที่ตนสร้างไว้ ไม่ว่าจะเพื่อธุรกิจหรืออะไร ดรีมก็ไม่พอใจทั้งนั้น


เชียร์ควรจะมีแค่ดรีมสิ


จะส่งสายตาหวานฉ่ำให้คนอื่นไปทำไมกัน


“เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ดรีมจะหึงไปทำไม”


“...”


อย่างที่อีกฝ่ายพูด ดรีมกับเชียร์ไม่ได้เป็นอะไรกัน ดรีมไม่เคยขอ ส่วนเชียร์เองก็ไม่พูดอะไร นั่นเลยทำให้ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขามันแปลก ความสัมพันธ์ที่เติมเต็มเพียงความต้องการให้กันและกัน หากแต่ไม่มีใครมอบสถานะที่มากกว่าคู่นอนหรือเจ้านายและลูกน้องให้กันเลย


บางทีดรีมอยากจะพูด แต่ก็ความกล้าก็ไม่มากพอ เพราะความแตกต่างทางฐานะและตำแหน่งหน้าที่ เชียร์เป็นถึงประธานบริษัท ส่วนตัวเขาเป็นเพียงพนักงานธรรมดาๆ ที่ได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นเลขาส่วนตัวก็เท่านั้น


ส่วนเชียร์ก็รอให้อีกคนเอ่ยมันออกมา ร่างบางไม่เคยขอใครคบ และเขามักจะพยายามคิดว่า ต่อให้ไม่ได้มีสถานะคนรักแต่ดรีมก็ยังอยู่กับเขา นั่นก็เป็นเครื่องยืนยันว่าอีกฝ่ายคงไม่จากกันไปไหนแน่นอน


ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เชียร์ยังรอให้ดรีมเอ่ยอะไรสักอย่างออกมา เขาอยากจะให้สถานะแปลกๆ ของพวกเขามันมีชื่อเรียกอยู่ดี


ความคิดในหัวของเชียร์ตีกันเก่งเหลือเกิน บางทีก็รู้สึกยินดี บางทีก็รู้สึกขัดแย้ง


พวกเขาพบกันครั้งแรกที่ทริปประจำปีของบริษัทเมื่อสามปีก่อน ดรีมได้ถูกคัดเลือกให้ร่วมทริปไปต่างประเทศในครั้งนั้น ตอนนั้นเชียร์มาในฐานะลูกชายของท่านประธาน แล้วไม่รู้ว่าเดินซื้อของไปมาอย่างไรถึงได้มาเดินด้วยกัน อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่ต่างก็อยากเดินเลือกซื้อของฝากด้วยตัวเอง แต่พอมาเจอกันในร้านค้าหนึ่งในย่านช็อปปิ้ง ก็เหมือนกับมีขั้วแม่เหล็กที่ดึงดูดคนทั้งคู่เข้าหากันและกัน พวกเขาต่างก็แลกช่องทางกันติดต่อจนในที่สุดก็มีความสัมพันธ์ลับๆ โดยที่ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมา


ก็เพิ่งจะมีคนสงสัยตอนที่ดรีมได้เลื่อนตำแหน่ง  แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมากเนื่องจากไม่มีใครแสดงท่าทางอะไรที่มากกว่าเจ้านายกับลูกน้องเลยสักครั้ง นั่นเลยทำให้เรื่องค่อยๆ เงียบไปในที่สุด


“ห้ามส่งสายตา...”


Rrrrrrr


เสียงโทรศัพท์ของประธานบริษัทดังขึ้นขัดจังหวะคนที่กำลังจะเอ่ยอะไรสักอย่างออกมา ดรีมเม้มปากแน่นมองเชียร์กดรับพลางกรอกเสียงร่าเริงไปยังปลายสายก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินกลับไปยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตัวเอง


เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดชะมัด


ดรีมหึงและหวงเชียร์ยิ่งกว่าอะไรดี แต่มันก็ติดอยู่แค่ว่าเขาไม่กล้าที่จะขออีกฝ่ายคบให้เป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้น


“ครับคุณเจษ มาถึงแล้..อ๊ะ!”


ร่างสูงปรี่เข้าไปประชิดร่างบางก่อนจะกดจมูกลงไปยังซอกคอหอมกรุ่น กลิ่นหอมประจำตัวของเชียร์ทำให้ดรีมอยากสัมผัสให้มากกว่านี้ มือหนาส่งปลายนิ้วไปสะกิดยอดอกผ่านเนื้อผ้าจนร่างบางในอ้อมกอดดิ้นไปมา เสียงหวานที่เคยร่าเริงขาดห้วงไปเพราะถูกกระตุ้นจากคนที่ซ้อนกายอยู่ด้านหลัง


“อ๋อ เดี๋ยวผมไปนะครับ อื้ม..เดี๋ยวนี้เลยก็ได้”


มือหนาที่อยู่ไม่สุขลูบไล้แกล้งอีกคนจนแทบจะทรงตัวไม่ไหว น้ำเสียงที่เอ่ยตอบปลายสายกระท่อนกระแท่นจนในที่สุดบทสนทนาก็จบไป ชนินทร์เอียงคอให้อีกฝ่ายซุกได้ถนัด


“ฮื่อ..เดี๋ยวต้องไปประชุมแล้วนะ”


“ผมไม่อยากให้บอสไป”


“นี่มันเวลางานนะครับคุณดลภัทร”


ดรีมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะผละตัวเองออกมา เชียร์หันกลับมาทางก่อนพลางระบายยิ้มบางๆ จากนั้นจึงค่อยๆ เอื้อนเอ่ยประโยคที่ตอกย้ำถึงสถานะของเราทั้งคู่ด้วยประโยคคล้ายเดิมให้ดรีมได้ยิน


และจดจำ


“ดรีมจะหึงทำไม”


“....”


“เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”



.


.


“ขอบคุณคุณเจษมากนะครับมาร่วมธุรกิจกับทางเรา”


เชียร์เอ่ยพลางยื่นมือไปด้านหน้า ไม่นานนักเจษ—เจษฎา ก็ส่งมือกลับมาจับเป็นการตอบรับด้วยรอยยิ้ม การประชุมเจรจาครั้งนี้ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เกินคาดของเชียร์สักเท่าไหร่


“ขอบคุณคุณเชียร์เช่นกันครับ ผมหวังว่าอนาคตของเราจะราบรื่นนะครับ”


เจษฎาเอ่ยขอบคุณทั้งๆ ที่ยังไม่ปล่อยมือจากอีกฝ่าย แอบใช้หัวแม่โป้งลูบเบาๆ ที่หลังมือของเชียร์ เขาคิดว่าเชียร์น่าจะรู้แต่ก็ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา มิหนำซ้ำยังส่งรอยยิ้มซุกซนๆ กลับมาอีกด้วย


ปึง!


เสียงแฟ้มกระทบกับโต๊ะทำให้ทั้งคู่สะดุ้งแล้วผละออกจากกันก่อนจะมองไปทางต้นเสียง เป็นดรีมที่วางแฟ้มเสียงดังจนคนทั้งห้องตกใจ ร่างสูงที่เริ่มรู้ตัวว่าเผลอทำกิริยาไม่เหมาะสมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงแล้วโค้งเป็นเชิงขอโทษทุกคน จากนั้นจึงได้แยกย้ายกันกลับไปทำงานของตนต่อ


เชียร์กลับมาที่ห้องพร้อมกับเลขาหนุ่มของตนเอง ร่างบางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ อีกไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เชียร์อยากจะกลับไปแช่น้ำในอ่างที่ห้องเพื่อคลายความปวดเมื่อยที่ก่อตัวพร้อมกับการประชุมมาทั้งวัน


“ไม่มีงานต่อแล้วใช่ไหมครับคุณดลภัทร”


“ครับ”


ร่างสูงเอ่ยพลางทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้ามกับเจ้านายของตน


ในหัวมันกำลังคิดเกี่ยวกับภาพของบอสกับคุณเจษ สารภาพเลยว่าเขาไม่พอใจเลยสักนิด มันกล้าดียังไงถึงได้จับมือบอสแบบนั้น


“วันนี้ดรีมจะเข้าคอนโดไหม”


“ไม่รู้ครับ”


น้ำเสียงหงุดหงิดของดรีมทำให้เชียร์ยกยิ้มเล็กน้อย เขารู้ดีว่าดรีมกำลังมีความรู้สึกแบบไหน แต่จะให้เขาทำอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะพัฒนาความสัมพันธ์เอง


“หงุดหงิดเหรอ”


“บอสสนใจด้วยเหรอครับ”


“สนใจสิ แต่ดรีมนั่นแหละไม่สนใจเชียร์เองต่างหาก”


ดรีมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาซุกซนที่มองกลับมาอย่างไม่แพ้กัน เชียร์ขยับตัวเองนั่งเท้าคางบนโต๊ะ ส่งสายตาเย้ายวนไปให้ถึงอีกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม


“ขี้เกียจคุยด้วยแล้ว คืนนี้มาหาด้วยล่ะ”


“....”


“มีอะไรให้ดู”


.

.


ดลภัทรจอดรถที่ลานจอดรถใต้คอนโดของชนินทร์ก่อนจะพาตัวเองไปยังจุดหมายปลายทางนั่นก็คือห้องของอีกฝ่าย เขากดลิฟต์ไปยังชั้นสิบห้าด้วยความเคยชิน ในหัวก็กำลังคิดถึงคำพูดของอีกฝ่ายที่ว่ามีอะไรให้ดู


เขายังไม่หายหงุดหงิดเลยด้วยซ้ำ เชียร์จะมาเล่นสนุกอะไรตอนนี้ ไม่เข้าใจอีกคนเลยจริงๆ


เหมือนจะชอบยั่วเย้าให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่ตลอด


ผลลัพธ์มันก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากจบที่เตียง บางทีก็ที่โซฟา


มือหนาหยิบคีย์การ์ดมาแตะเข้าที่ประตูก่อนจะเปิดเข้าไปด้านใน ทันทีที่ประตูปิดลงดรีมก็มองไปรอบๆ โซนห้องครัวและห้องนั่งเล่นเพื่อหาร่างของอีกฝ่าย เมื่อไม่พบร่างของบอสก็เดินตรงไปยังห้องนอนที่คุ้นเคย มือหนาบิดประตูเข้าไป ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ ร่างของคนที่เขาตามหาก็นั่งอยู่บนเตียงรออยู่แล้ว


เชียร์ในเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงปลายเตียง กระดุมถูกปลดไปสองสามเม็ด คอเสื้อเปิดออกเล็กน้อยเผยให้เห็นไหล่บางที่โผล่พ้นเนื้อผ้ามา ส่วนส่วนล่างนั้นก็ไม่มีอะไรปกปิดเลยสักอย่าง


นี่ยังไม่รวมโชคเกอร์ลูกไม้สีดำบนลำคอขาวนั่นที่ประดับให้ร่างบางตรงหน้าสวยงามขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า


“บอส..”


“นี่คิดตั้งนานนะเนี่ยว่าจะง้อคนขี้หึงยังไงดี”


ไม่พูดเปล่าแต่ร่างบางกลับลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงก่อนจะเดินเข้าไปหาดรีมที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แขนเรียววาดโอบลำคอของอีกฝ่ายไว้พลางแนบชิดร่างของตัวเองเข้าหาอีกคนจนแทบจะไม่มีพื้นที่ให้อากาศแทรกผ่าน


“บอส...”


“ชอบไหม?”


“มีอะไรที่ผมไม่ชอบในตัวบอสด้วยเหรอครับ”


ดรีมขยับใบหน้าเข้าหาอีกคนก่อนจะกดจูบริมฝีปากบางที่เขาลิ้มลองมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ริมฝีปากนุ่มนิ่มที่ไม่ว่าจะสัมผัสเท่าไหร่ก็ไม่พอ เชียร์เองที่ไม่ยอมแพ้ก็จูบตอบกลับไป ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร มือหนาของดรีมทำหน้าที่ได้ดีโดยการลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างบอบบาง เขาเลื่อนมือไปสัมผัสกับแก้มก้นนุ่มนิ่มที่ไม่มีอะไรปกปิดพลางลูบไล้อย่างเอาแต่ใจ


กำปั้นน้อยๆ ทุบเข้าที่อกแกร่งเป็นการเตือนว่าตนเริ่มหายใจติดขัด ดรีมจึงได้ผละใบหน้าออกก่อนจะเลื่อนไปยังซอกคอขาวที่มีโชคเกอร์ลูกไม้กระดับอยู่ เขาใช้ปลายจมูกสูดดมลำคอขาวผ่านโชคเกอร์ลูกไม้ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาจนถึงไหปลาร้า เสียงครางหวานดังขึ้นเมื่อดรีมไล้จมูกไปมากับคอของเขา มันชวนให้จั๊กจี้จนต้องครางระบายความรู้สึกออกมา


ไม่รู้เมื่อไหร่ที่แผ่นหลังของเชียร์กระทบลงบนเตียงนุ่ม เสื้อเชิ้ตถูกปลดกระดุมออกจนหมดเผยให้เห็นเรือนร่างบอบบางที่ดรีมไม่ได้สัมผัสมาเป็นสัปดาห์ เขาสร้างรอยบนร่างกายของเชียร์ไปทั่ว ก่อนที่จะใช้ลิ้นร้อนหยอกล้อกับยอดอกอย่างเอาแต่ใจ


“ฮื่อ..อ๊ะ..”


ร่างบางแอ่นอกเข้าหาปากของอีกฝ่าย ร่องครางออกมาอย่างพึงพอใจเมื่อได้รับสัมผัสที่คุ้นเคย แค่ถูกดรีมสัมผัส เชียร์แทบจะลืมไปจนหมดว่าอยากจะทำอะไรกับดรีมบ้าง


เชียร์ส่งมือไปลูบเป้ากางเกงของดรีมจนสิ่งที่อยู่ภายในนูนขึ้นสู้มือ ไม่นานนักดรีมก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดเผยให้เห็นร่างกายที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวดูแลตัวเองดีขนาดไหน ดวงตาเรียวมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่ฉ่ำปรือ ใบหน้าของเชียร์ตอนนี้มันทำให้ดรีมอยากจะรักอีกคนแรงๆ และแน่นอนว่าไม่รอช้าที่จะจัดการคนยั่วเก่งที่อยู่ใต้ร่างให้เป็นไปตามเกม


มือหนาแยกขาเรียวของอีกฝ่ายออกจากกันก่อนจะใช้ส่งนิ้วเข้าไปสำรวจภายในช่องทางสีหวานของเชียร์ จากหนึ่งนิ้วเป็นสอง จากสองเป็นสามตามลำดับ ดรีมขยับนิ้วเข้าออกจนคนที่อยู่ใต้ร่างครางออกมา


“อ..อ๊ะ ดรีม..อื้ม เอาของเธอเข้ามาเลยได้ไหม”


“ผมกลัวบอสเจ็บ”


“เชียร์ชอบ”


เชียร์เอ่ยออกมาพลางส่งสายตาเว้าวอนมาให้จนดรีมห้ามใจไม่อยู่ ที่ต้องเบิกทางเพราะไม่อยากให้เชียร์เจ็บมาก แต่ถ้าอีกคนต้องการแบบนี้เขาเองก็จะไม่ขัด ดรีมเอานิ้วออกก่อนจะรูดรั้งแกนกายของตัวเอง หยิบถุงยางอนามัยจากลิ้นชักหัวเตียงมาใส่เพื่อป้องกัน แล้วสอดแทรกไปภายในช่องทางของเชียร์จนมิดด้าม


“อ๊า!! อ๊ะ..”


ดรีมขยับกายเข้าออกจากช้าเป็นเร็วซึ่งนั่นเรียกเสียงครางหวานจากอีกฝ่ายได้ดี มือหนาข้างหนึ่งส่งไปรูดรั้งแกนกายของคนใต้ร่าง


“ดรีม อ๊ะ แรงอีกสิ อื้ออ”


ร่างหนาขยับกายเร็วขึ้นพลางโน้มตัวลงไปจูบริมฝีปากของอีกฝ่าย เสียงเนื้อกระทบกันและเสียงจูบของทั้งคู่ดังไปทั่วห้องนอนสีขาวสะอาดตา จูบจนพอใจแล้วก็ผละออกมา ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อเชียร์ก็ดันให้เขาไปอยู่ใต้ร่างพร้อมกับร่างบอบบางที่ย้ายขึ้นมานั่งบนตัวเขาโดยที่ส่วนล่างยังเชื่อมกันอยู่


มือบางทั้งสองยันเข้ากับหน้าท้องของอีกฝ่ายพลางขยับร่างขึ้นลงตามจังหวะ ดรีมเองก็ขยับสะโพกเข้าสู้โดยที่ไม่ได้สนใจว่าแกนกายจะเข้าไปลึกขนาดไหน


เชียร์ปิดเปลือกตาลง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อส่วนล่างของอีกฝ่ายเข้ามาลึกมากกว่าปกติ มันก็เจ็บ แต่เชียร์กลับชอบมันเสียอย่างนั้น


“บอสเจ็บไหมครับ”


“เชียร์ชอบ”


“...”


“ชอบทุกอย่างของดรีมเลย”


เชียร์ลืมตาขึ้นมาพลางจ้องเข้าไปยังแววตาของอีกฝ่าย แววตาที่สะท้อนแค่เชียร์ออกมา ริมฝีปากอิ่มกระตุกยิ้มก่อนจะขยับร่างเข้าออกจนลืมความเจ็บ เพราะเขากอบโกยความสุขทุกอย่างไว้ให้มากที่สุด ให้คุ้มกับที่ไม่ได้ร่วมรักกันมาเป็นสัปดาห์ 


ดรีมเลื่อนมือไปขยำบั้นท้ายนิ่มของอีกคนเล่นอย่างเอาแต่ใจ ส่วนเชียร์เองก็ขยับตัวขึ้นลงสู้กับสะโพกที่สวนกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ และไม่นานนักทั้งคู่ก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน


เป็นเชียร์เองที่ไม่จบบทรักแต่เพียงเท่านี้ ร่างบางผละตัวออกมาจากดรีมโดยที่มีน้ำสีขุ่นไหลลงมาตามเรียวขา ดรีมคร่อมอีกฝ่ายไว้เช่นเดิมเพียงแต่สลับด้านจนใบหน้าหวานไปจ่ออยู่ที่แกนกายของดรีม ส่วนล่างของตัวเองนั้นก็ไปจ่ออยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่าย


ดรีมตกใจกับการกระทำของบอสตัวบางเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มอย่างพึงพอใจ


“บอสของผมนี่...”


“....”


“สุดยอดจริงๆ”


คำพูดและน้ำเสียงของดรีมทำให้เชียร์รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า ปกติเขาทำแบบนี้ที่ไหน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ทำอะไรแบบนี้เพราะอยากจะเอาใจอีกฝ่าย


เชียร์ใช้ปากครอบครองแกนกายของอีกคนไว้ เช่นเดียวกับดรีมที่รั้งสะโพกบางให้อยู่ระดับเดียวกับใบหน้าก่อนจะกดลงมาจนแกนกายของเชียร์เข้ามาอยู่ในปาก


ทั้งคู่ต่างก็ใช้ปากทำหน้าที่ของตน เชียร์ใช้มือประคองแกนกายไว้พลางขยับปากขึ้นลงสลับกับเลียแท่งเนื้อร้อนราวกับว่ามันคือไอติมเลิศรส ขณะเดียวกันก็ขยับส่วนล่างเข้าออกกับปากดรีม


“อื้ม..อื้อ..”


ร่างบางครางออกมาเมื่อฟันของดรีมครูดเข้าที่แท่งเนื้อของตนเล็กน้อย เชียร์เร่งจังหวะให้เร็วขึ้นก่อนที่ทั้งคู่จะปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง



.

.


“เชียร์น่ารักมากๆเลยครับ”


“ฮื่อ รู้แล้ว..”


เชียร์ซุกตัวเข้าหาอกแกร่งที่กำลังโอบกอดเขาไว้ เป็นเซ็กซ์ที่ใช้เวลาและพลังไปไม่น้อย ซึ่งถือว่าเป็นอะไรใหม่ๆ สำหรับพวกเขาเช่นกัน


ดรีมกอดร่างของอีกคนไว้แน่น เขาหวงแหนร่างกายและหัวใจของเชียร์เหลือเกิน นึกไม่ออกเลยถ้าวันหนึ่งที่ไม่มีกันแล้วมันจะเป็นอย่างไร แม้มันจะเป็นความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะฉาบฉวย แต่เขาก็อยากให้พวกเราทั้งคู่มีกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ


เขาเผลอทำรุนแรงไปตั้งหลายครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวตอนกลางวันที่เชียร์จับมือกับไอ้คุณเจษอะไรนั่น


“ผมไม่ชอบให้บอสคุยกับคุณเจษ”


“ทำไมจะคุยไม่ได้ล่ะ” เชียร์ถามอู้อี้ เปลือกตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อเพราะความเหนื่อย


“ผมไม่ชอบ”


“แค่นี้เหรอ?”


เชียร์ถามต่อพลางช้อนใบหน้ามองอีกฝ่าย ดรีมเม้มปากแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ


“ถ้าคุณเจษชอบเชียร์ เขาก็มีสิทธิ์ชอบนะ เพราะเชียร์ไม่มีใคร”


ดรีมเหมือนถูกมีดกรีดเข้าที่กลางหัวใจกับประโยคของเชียร์


‘เพราะเชียร์ไม่มีใคร’


จะโทษใครได้นอกจากตัวเองที่ไม่พูดอะไรออกไปสักที


“อยู่แค่กับดรีมนะครับ” ดรีมพูดพลางกอดร่างอีกคนไว้แน่น เชียร์ถอนหายใจออกมาบ้าง


มันควรจะเป็นประโยคขอคบสิ ไม่ใช่ขอให้เขาอยู่แบบไม่มีสถานะนี้ต่อไป


เชียร์ไม่เคยขอใครคบเลย แต่ตอนนี้เขากำลังคิดใหม่ว่าถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไป ใครกันแน่ที่จะทรมานที่สุด เชียร์ชินกับการมีดรีมอยู่ในชีวิตแล้ว เขาคิดว่าอีกคนก็คงจะเป็นเหมือนกัน หากเขาเอ่ยขออีกฝ่ายไป ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นการเรียกร้องมากเกินไปหรือเปล่า ถ้าเป็นเขาที่รู้สึกอยากมีสถานะอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ?


แย่เลยนะแบบนั้น


“ดรีม..ไม่อยากให้เรามีสถานะอื่นบ้างเหรอ”


“....”


“จะเป็นแบบนี้ตลอดไปเลยใช่ไหม”


“ผมว่า..เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนะครับ”


เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว..


ดีอยู่คนเดียวหรือเปล่า?


เชียร์ผลักดรีมออกจากตัวก่อนจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เขาหงุดหงิดกับสถานะคลุมเครือแบบนี้มานาน ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นดรีมที่ขอเขาคบด้วยซ้ำ แต่ทำไมตอนนี้มันกลายเป็นเชียร์ที่ขอ 


แถมขอไปก็ไม่ได้อะไรนอกจากการบอกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว


ดรีมตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย ก่อนจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปคว้าข้อมือเล็กไว้แต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างแรงราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้เขายุ่งด้วย


“ดีอยู่คนเดียวหรือเปล่า?”


“บอส..”


“ออกไป”


“ผมไม่เข้าใจ..”


“ถ้าให้คำว่าคนรักไม่ได้ ก็พอเถอะ”


“....”


“ฮึก..เจ็บจะตายอยู่แล้ว”


ราวกับว่าความแข็งแกร่งและความเก่งที่มีทั้งหมดมันพังทลายลงตรงหน้า 


เชียร์จำได้ว่าตัวเองเคยเข้มแข็งมากแค่ไหน ไม่สนใจกับคำว่ารักมากแค่ไหน แต่พอมาคิดใหม่แล้วมันไม่สมควรเลยกับการที่จะมีอะไรกันแต่ให้สถานะกันไม่ได้


บางทีอาจจะเป็นเชียร์ที่คิดไปเองฝ่ายเดียวก็ได้


“ไม่ใช่แบบนั้นนะ แต่ผมคิดว่า..”


“ว่าอะไร?”


ดลภัทรเม้มปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปดีไหมว่าเราอาจจะไม่เหมาะสมกัน เขาก็แค่เลขาธรรมดาๆ ในขณะที่ฝ่ายเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม และถ้าคบกัน ดรีมกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้รับผลกระทบต่างๆ ทั้งดีและไม่ดีก็เป็นได้


“ผมว่า..”


“ออกไปเถอะ” น้ำเสียงของเชียร์อ่อนล้าจนดรีมใจไม่ดี


“ฮึก ออกไปก่อนได้ไหม เชียร์ขออยู่คนเดียวเถอะนะ”


“....”


“บางทีหลังจากนี้เชียร์อาจจะคิดใหม่ก็ได้ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว”


“....”


ดีแบบที่ดรีมว่าไง



.

.


เช้าวันนี้ไม่สดใสสำหรับชนินทร์เลยสักนิด ร่างบางตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวตุบๆ แถมยังปวดตาไปหมดเพราะการร้องไห้เกือบทั้งคืน


สุดท้ายแล้วคนที่อ่อนแอและเป็นฝ่ายเรียกร้องมากที่สุดก็คือเชียร์เอง


พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็อยากจะร้องไห้อีกรอบ ทำไมเขาถึงอ่อนแอได้ขนาดนี้ จะหวังอะไรกับดรีมกัน บางทีดรีมอาจจะแค่ผูกพัน อาจจะไม่ได้รักเขาเลยก็ได้


ร่างบางพาตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวและทานมื้อเช้าง่ายๆ อย่างกาแฟร้อนกับขนมปังก่อนจะเดินทางไปทำงาน เขาไม่รู้เลยว่าถ้าไปเจอดรีมแล้วควรจะแสดงสีหน้าอย่างไร ควรจะยิ้มแย้มเหมือนที่เคยทำ หรือแสดงท่าทางบึ้งตึงให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่พอใจดี


แต่ไม่นานนักเขาก็นึกอะไรได้ นั่นเลยทำให้มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายไปหาใครบางคน


ก็คงต้องใช้อีกคนเป็นเครื่องมืออีกครั้ง


ดรีมจะได้รู้ว่าถ้าไม่มีดรีม เชียร์เองก็อยู่ได้


“คุณเจษเหรอ...วันนี้ว่างเข้ามาคุยกันที่ห้องทำงานผมไหม...ฮ่ะๆ แล้วเจอกันนะ”



.

.



เช้าวันนี้ไม่สดใสสำหรับดลภัทรเลยสักนิด


ร่างหนาทิ้งนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรนี่แหละ เขามองไปยังประตูห้องของอีกพลางถอนหายใจออกมาอีกรอบ


หากเป็นตอนที่ยังไม่มีปัญหา ดรีมก็คงเปิดประตูเข้าไปทักทายอีกคนแล้ว แต่นี่มีปัญหา เขาเลยไม่กล้าเข้าไปหาอีกคน


ภาพที่เชียร์ร้องไห้พร้อมกับบอกว่าเจ็บปวดกับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกนี้มันทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน


“ครับ..หืม คุณเจษจะชวนผมไปทานข้าวเหรอครับ ฮ่ะๆ ได้สิ ผมน่ะว่างเพื่อคุณเสมอเลย”


เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้ดรีมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที หากมันเป็นเสียงหวานที่คอยทักทายคนรอบข้างเขาอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่นี่เป็นการคุยกับไอ้คุณเจษหน้าม่อนั่น ดรีมเลยเลือกที่จะมองไปยังต้นเสียงที่เดินตรงมาทางเขาแล้วเข้าห้องตัวเองไปโดยที่ไม่ทักทายกันสักคำ


ไหนบอกว่าเจ็บจะตายอยู่แล้ว? 


ที่คุยกับไอ้ประธานนั่นด้วยน้ำเสียงแบบนั้นคืออะไร?


ชั่วโมงการทำงานเริ่มขึ้นพร้อมกับความไม่สบอารมณ์ของคนทั้งคู่ และในช่วงสาย ดรีมเอาเอกสารมาให้เชียร์เซ็น เชียร์ก็เซ็นเอกสาร ดรีมเองก็ยืนเฝ้า พอเซ็นเสร็จก็ไม่พูดอะไรต่อแถมยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเป็นสัญญาณว่าจะไม่สนใจกัน


“บอสครับ”


“มีงานอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ออกไป”


“ผม...”


“ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ”


เป็นอีกครั้งที่เขาถูกไล่ แถมคำพูดคำจายังทำร้ายจิตใจของดรีมจนแทบพังยับเยิน


“ครับ”


พูดจบก็ออกไปตามที่อีกฝ่ายขอ ดรีมอาจจะต้องคิดเรื่องของเราให้มากกว่านี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เชียร์แสดงอาการออกมาอย่างชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ และไว้รอให้อีกคนใจเย็นก่อน เขาจะได้คุยและอธิบายให้เชียร์รับรู้ในความคิดของตัวเขาเอง


ปัง!


ดรีมออกไปแล้ว เชียร์จึงละสายตาออกมาจากโทรศัพท์มือถือที่เขากดเลื่อนซ้ายเลื่อนขวาไปมาแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย ประโยคที่เอ่ยไปเมื่อสักครู่ก็แค่อยากให้อีกคนออกจากห้องไปก็เท่านั้น


เชียร์ไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าดรีมก็แค่นั้น


แค่เห็นหน้าต่อมน้ำตาก็จะแตกแล้ว ไม่รู้ว่าเชียร์คนที่เข้มแข็งคนก่อนมันหายไปไหน ทำไมเหลือแต่เชียร์คนอ่อนแอที่รู้สึกกับอีกฝ่ายมากเกินไป แถมยังไม่ได้รับความรู้สึกตอบกลับมา


แย่..เชียร์คิดว่ามันแย่


วันนี้ทั้งวันเชียร์ไม่ออกจากห้องเลย ข้าวก็ไม่กินเพราะไม่รู้สึกหิว อยากจะนั่งเฉยๆ ให้มันหมดๆ วันไปด้วยซ้ำ


นั่งเปื่อยๆ อยู่สักพัก โทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะก็แผดเสียงจนต้องคว้ามารับสาย แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ดรีม แต่เป็นคุณเจษที่เขานัดไว้ให้มาหา


“ครับ”


(เลขาคุณไม่ให้ผมเข้าไปน่ะ ผมทำอะไรได้บ้างเหรอครับคุณชนินทร์?)


“เดี๋ยวผมออกไป”


มือบางกดวางสายก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม เขาลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้คนที่อยู่ด้านนอกเข้ามา แอบเห็นเจษหันไปยิ้มเยาะให้กับดรีมด้วย 


แต่นั่นมันก็สมควรแล้ว 


เชียร์ยิ้มให้เจษก่อนจะเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามาด้านใน ก่อนจะเข้ามาก็เหลือบมองไปยังดรีมที่มองมาที่เขาด้วยความไม่เข้าใจ


ช่างสิ เชียร์ไม่สนใจหรอก


ปัง!


ประตูถูกปิดเสียงดังจนแม่บ้านที่เดินมาเก็บขยะตกใจ ดรีมหันไปโค้งเป็นเชิงขอโทษแทนเจ้านายก่อนจะมองไปยังบานประตูที่ด้านในมีเชียร์กับไอ้ประธานนั่นอยู่


ไม่ชอบใจเลยสักนิด


เขาโคตรไม่พอใจที่เชียร์ชวนให้ไอ้หมอนั่นมาหาถึงที่บริษัท ถ้าจะคิดในแง่ดีมันก็คงเป็นเรื่องงาน แต่ถ้าอีกแง่เขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเชียร์จะประชดหรือตั้งใจจะสานความสัมพันธ์กับคนแบบนั้นจริงๆ


“ดรีมๆ”


เสียงของรุ่นพี่แผนกบัญชีโบกมือไปมาอยู่เบื้องหน้า นั่นเลยทำดรีมต้องเรียกสติกลับมาอีกครั้ง เมื่อพูดคุยกับเธอสักพักก็ได้ความว่าให้เอาเอกสารด่วนนี้ส่งให้ท่านประธานด้วย นั่นหมายความว่า ดรีมจะต้องเข้าไปในห้องของเชียร์ตอนนี้


ร่างหนาหยุดอยู่ด้านหน้าประตูพร้อมกับแฟ้มในมือ สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปโดยไม่สนใจว่าคนที่อยู่ด้านในจะอนุญาตหรือไม่


และเมื่อเข้าไป ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำเอาไฟในอกมันสุมด้วยความโกรธ แต่เพราะตำแหน่งหน้าที่ของเขาในตอนนี้ทำให้ไม่สามารถแสดงท่าทางเกรี้ยวกราดออกมาได้ ดลภัทรเลยทำได้แค่พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุด


ภาพที่เขาเห็นก็คือคุณเจษกำลังลูบหัวเชียร์


มันควรจะเป็นดรีมหรือเปล่าที่ทำหน้าที่นั้น?


“เข้ามาทำไมครับ ผมยังไม่ได้อนุญาตไม่ใช่เหรอ”


“เอกสารด่วนครับ”


“วางไว้ก่อน ผมคุยธุระอยู่”


ดรีมกำหมัดแน่นเมื่อเห็นว่าจเจษกำลังยกยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาอยากจะเข้าไปต่อยหน้ามันให้หงายเลยด้วยซ้ำ แต่เขาทำไม่ได้ มันคงจะไม่ส่งผลดีต่อเขาและเชียร์แน่ๆ ที่ทำได้ตอนนี้ก็เป็นแค่การเอาเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะทำงานแค่นั้น


“นี่เป็นเอกสารด่วนนะครับ” เน้นย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่ามีงานด่วนอยู่ตรงหน้า จะได้แยกๆ จากกันไปเสียที


“คุณเชียร์เซ็นเถอะครับ ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า ไว้ตอนเย็นเราไปดินเนอร์กันนะ”


“ได้ครับ ขอบคุณที่มาหานะครับคุณเจษ”


ดลภัทรมองภาพที่ทั้งคู่กำลังร่ำลากันด้วยรอยยิ้ม จนกระทั่งคุณเจษออกไป ดรีมก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมพลางมองไปยังร่างบางที่ไม่ได้สนใจจะมองมาหาเขาเลยสักนิด


“บอสครับ”


“รู้แล้ว เดี๋ยวจะเซ็นให้นี่ไง จะเซ้าซี้อะไรนักหนา”


ร่างบางพูดพลางลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง น้ำเสียงหงุดหงิดของเชียร์ทำให้ดรีมเริ่มจะหงุดหงิดตาม เขาว่าเขาเคยควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่านี้ แต่พอเจษเข้ามายุ่งย่ามแบบนี้ ดรีมก็เริ่มแสดงอาการไม่พอใจระหว่างที่อยู่ด้วยกัน


“คุยกันก่อนได้ไหมเชียร์”


สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้คนที่กำลังจะกลับไปที่โต๊ะชะงักอยู่กับที่ ไม่บ่อยนักที่อีกฝ่ายจะเรียกชื่อเขาแบบนี้ ดรีมมักจะเรียกเขาว่าบอสมากกว่า


“มีอะไรต้องคุย?”


“พี่...”


“ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีไม่ใช่เหรอ?”


ประโยคที่ดรีมพูดเมื่อคืน ตอนนี่เปลี่ยนเป็นเชียร์ที่พูดแทน ดวงตาเรียววูบไหวเล็กน้อยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งงันไม่สื่ออารมณ์ใดๆ ออกมา


“ขอโทษ”


ดรีมไม่ชอบเลยเวลาที่เราอยู่ด้วยความอึดอัดเช่นนี้ เขามีเหตุผลที่เชียร์อาจจะไม่เข้าใจ และเขาเองก็คงไม่เข้าใจเหตุผลของอีกฝ่ายมากพอเช่นกัน


“พี่ขอโทษ”


เชียร์เม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำขอโทษจากอีกฝ่าย เขายืนหันหลังให้กับดรีมและพยายามอย่างมากที่จะกลั้นน้ำตาไว้ ตอนนี้เป็นช่วงอ่อนไหว เขาไม่อยากให้อีกคนเห็นว่าเขาอ่อนแอ ต่อหน้าทุกคนมันควรจะมีแค่ชนินทร์คนเข้มแข็งเท่านั้น


ดรีมที่พอเห็นเชียร์หันหลังให้ก็ตรงเข้าไปหาก่อนจะโอบกอดร่างบางไว้ เชียร์ดิ้นอยู่นานสุดท้ายก็นิ่งลงเมื่อเขาเอ่ยคำขอโทษมาอีกครั้ง ใบหน้าหล่อซบลงกับไหล่เล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าแบกความอึดอัดพวกนี้ไว้นานแค่ไหนแล้ว


บางทีเชียร์อาจจะแสดงออกถึงความต้องการมานานแล้ว เพียงแค่ดรีมเองที่มักจะเปลี่ยนเรื่องและไม่พูดอะไรออกมาอยู่คนเดียวก็ได้


“พี่ขอโทษ แต่ฟังพี่ก่อนได้ไหม”


“มันดีอยู่แล้ว แบบนี้มันดีอยู่แล้ว”


ประโยคของดรีมกำลังหลอกหลอนและสร้างความเจ็บปวดให้กับเชียร์


แต่นั่นมันทำให้ดรีมเจ็บปวดไม่แพ้กันเลย


“รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงไม่ยอมขอเชียร์คบ”


“ไม่เคยรู้”


“คิดดูสิ คนธรรมดาอย่างพี่ กับเชียร์ที่มีตำแหน่งสูงๆ ถ้าเราคบกัน...”


“พี่มันก็คิดอยู่แค่นี้ไง!”


เชียร์สะบัดตัวหนีอีกคนก่อนจะหันไปพูดใส่หน้าอีกคนด้วยความโกรธ


ดรีมแคร์แต่คนอื่น


ไม่เห็นจะแคร์เชียร์เลย


“เคยถามกันบ้างไหมล่ะว่าต้องการหรือเปล่า”


“....”


“เอาแต่นึกถึงคนอื่น แต่พี่เคยนึกถึงใจคนที่อยู่ข้างๆ พี่ทุกวันบ้างไหม”


ดรีมจ้องไปยังดวงตากลมโตแดงก่ำที่แสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน มันก็เป็นอย่างที่เชียร์ว่าจริงๆ นั่นแหละ เขานึกถึงคนอื่น แต่เขาไม่ได้นึกถึงใจของเชียร์เลย


เขาอยากคบกับเชียร์จะตายไป แต่มันจะเหมาะสมในสายตาใครหรือเปล่า ดรีมคิดแค่นี้


“พี่ดรีมรักเชียร์บ้างไหม”


คำถามกับน้ำเสียงเหนื่อยล้าของเชียร์เหมือนมีดที่คอยกรีดหัวใจของดรีมทีละนิด เขาไม่เคยพูดคำว่ารักเลยสักครั้งแม้จะรู้สึกมาตลอด เชียร์เองก็เช่นกัน


“พี่รักเชียร์มาตลอด”


“ถ้ารักแล้วให้คำว่ารักไม่ได้ พี่ก็พอเถอะ”


“.....”


“ฮึก ไม่อยากเจ็บแล้ว”


เชียร์ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาคู่สวย ยอมแสดงด้านอ่อนแอให้ดรีมเห็นอีกจนได้ พอเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเลยสักนิด ถ้ารักแล้วยังเป็นแบบนี้อยู่ก็อยากให้พอ เชียร์ไม่อยากเจ็บปวดแล้ว


“ไม่ใช่แบบนั้น พี่ขอโทษ พี่รักเชียร์จริงๆ นะ”


ดรีมโผเข้ากอดร่างบางอีกครั้ง ถูกทุบตีเท่าไหร่ก็ไม่ยอมปล่อย อยากจะกอดเชียร์ไว้อย่างนี้ กอดไว้ให้มั่นใจว่าเขารักอีกคนมากแค่ไหน เขาเองก็ไม่อยากให้ตัวเองและเชียร์เจ็บปวดแล้ว 


เราทั้งคู่อึดอัดกันมามากพอแล้ว


“รักบ้าอะไรล่ะ ฮึก แบบนี้เรียกว่ารักหรือไง ไม่ต้องมายุ่งแล้ว จะไม่ยอมเป็นแบบนี้อีกแล้ว ไม่อยากเจ็บแล้วเข้าใจไหม”


“ถ้าพี่พูดตอนนี้ พี่จะสามารถรั้งเชียร์ไว้ได้ไหมครับ?”


เชียร์หยุดทุบตีอีกฝ่ายก่อนจะจ้องลึกเข้าไปดวงตาเรียวที่สะท้อนภาพของเขาอยู่ ดรีมเลื่อนมือมาเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าหวานตรงหน้า มันเจ็บปวดจริงๆ กับการเห็นอีกคนร้องไห้ 


เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าถ้าไม่มีกันและกันมันจะเป็นอย่างไร เขาควรจะพูดมันออกมาตั้งนานแล้ว แต่เพราะความกลัวเลยทำให้ไม่กล้าที่จะพูดออกมาสักที 


ความอึดอัดในความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกเลยดำเนินมาเรื่อยๆ และคอยกัดกร่อนหัวใจพวกเขาทีละนิด


“พี่อยากขอเชียร์คบนานแล้ว แต่พี่กลัวจริงๆ พี่อยากมีทุกอย่างแล้วดูแลเชียร์ให้ดีมากกว่านี้”


“ฮึก..”


“พี่คิดมาตลอดว่ามีอะไรบ้างนะที่คู่ควรกับเชียร์ จะสามารถดูแลเชียร์ได้ดีแค่ไหน รู้ไหมว่าพี่คิดทุกวันเลย”


“....”


“แต่เพราะความกลัวของพี่มันเลยทำให้พวกเราอึดอัดมาตลอด พี่ขอโทษนะเชียร์”


“ฮึก ฮือ..”


“หลังจากนี้พี่สัญญาว่าพี่จะไม่กลัว ดรีมจะดูแลเชียร์ จนกว่าเชียร์จะไม่ต้องการ”


“....”


“ให้ดรีมได้ดูแลเชียร์ในสถานะคนรักได้ไหมครับ?”


ดรีมกำลังเอ่ยประโยคที่เชียร์รอคอยมาตลอดออกมา


แทนที่จะตอบตกลงไปเชียร์กลับร้องไห้หนักขึ้นเสียอย่างนั้น ร้อนให้คนเป็นพี่เกือบจะทำตัวไม่ถูก แขนแกร่งโอบกอดร่างบางไว้แน่นเพื่อให้อีกคนรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ จะคอยกอดและปกป้องเชียร์ไม่ไปไหน


“ไม่ร้องนะเด็กดี”


“รู้ไหม ฮึก รู้ไหมว่ารอมาตลอดเลย”


“รู้ครับ..ขอโทษนะ”


“เราจะเป็นแฟนกันได้แล้วใช่ไหม ฮึก”


“ใช่สิ รีบตอบตกลงได้ไหมครับ” ดรีมเร่งทั้งรอยยิ้ม เขารู้สึกเอ็นดูบอสคนเก่งของเขาเหลือเกิน


“ฮึก คนบ้า ฮือ เป็นแฟนแล้วนะ ห้ามทิ้งนะ ไม่อยากเจ็บแล้ว”


“ครับ ไม่ทิ้งแล้ว”


“ไม่ต้องมีทุกอย่างก็ได้ แค่มีพี่ดรีม ฮึก แค่มีพี่ดรีมก็พอ แค่ยังอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็พอ”


เชียร์อยากขอดรีมแค่นี้ เขาไม่ได้ต้องการอะไรจากอีกฝ่ายเลย แค่มีกันและกันอยู่ตรงนี้มันก็มากพอสำหรับเขาแล้ว เชียร์ต้องการมีดรีมในชีวิต ไม่สนว่าหลังจากนี้ใครจะว่าอย่างไรในเมื่อคนเหล่านั้นไม่ได้รับรู้ว่าพวกเขารักและผูกพันกันมากแค่ไหน


“พี่รักเชียร์นะ” คนเป็นพี่เอ่ยทั้งรอยยิ้ม


“รักเหมือนกัน ฮืออ หยุดร้องไห้ไม่ได้ คนบ้าเอ๊ย”


หลังจากนี้ก็พูดได้เต็มปากแล้วล่ะว่า ดรีมกับเชียร์เป็นแฟนกัน


จบเสียทีกับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก


“พี่ดรีม รักเชียร์หน่อยสิ”


“หืม พี่ก็รักมาตลอดนะ”


“ไม่สิ ไม่ใช่รักแบบนั้น รักแบบแรงๆ น่ะ”


“นี่มันเวลางาน..”


“คุณดลภัทรจะไม่รักผมจริง ๆ เหรอ”


แววตาและน้ำเสียงอ้อน ๆ เหมือนลูกแมวแบบนี้


ใครจะไปทนได้ล่ะทีนี้


นี่แหละน้า บอสคนเก่งของดรีม


บอสเชียร์น่ะ สุดยอดที่สุดในโลกแล้ว




////


• SPECIAL •


“อ..อื้ม”


เสียงจูบอย่างดูดดื่มดังไปทั่วห้อง ดรีมนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานบริษัทโดยที่มีร่างของเจ้าของเก้าอี้นั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน กางเกงสแล็คของเชียร์ถูกปลดออกโดยดรีมจนไปกองอยู่ที่ปลายเท้า มือหนาเลื่อนไปลูบไล้ส่วนอ่อนไหวภายในกางเกงชั้นในสีอ่อน ได้ยินเสียงครางหวานของอีกคนพลันเลือดในกายก็พุ่งขึ้นสูงจนต้องผละจูบแล้วจัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ส่วนล่างออกจากเชียร์หมด


แกนกายชูชันอยู่ตรงหน้าดรีม มือหนาเลื่อนไปรูดรั้งเบาๆ เป็นเชิงกระตุ้นก่อนจะมองไปยังใบหน้าหวานที่ตอนนี้ขึ้นสีระเรื่อ ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนใบหน้าไปใกล้เพื่อใช้ปากครอบครองส่วนอ่อนไหวของอีกคน


แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปาก เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นทำให้คนทั้งคู่สะดุ้งด้วยความตกใจ


“บอสคะ ดิฉันมาเอาเอกสารค่ะ”


เสียงของหญิงสาวในแผนกบัญชีที่ดรีมเพิ่งคุยด้วยไปก่อนหน้าดังขึ้น 


จริงสิ พวกเขาลืมเรื่องเอกสารไปเลย


“เอกสาร? อยู่ไหน?”


ดรีมพยักเพยิดไปที่มุมโต๊ะ เขาวางไว้ให้อีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เสียงเหมือนจะเปิดประตูจากภายนอกทำให้ทั้งคู่ลนลาน เชียร์ที่คิดอะไรไม่ออกก็ดันให้ดรีมเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะก่อนที่ตัวเองจะนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งโดยที่ไม่มีอะไรปกปิดเลย ขยับเก้าอี้เข้าหาโต๊ะเพื่อให้บดบังส่วนล่างจากบุคคลภายนอกที่จะเข้ามาด้านในได้ดี


“ขออนุญาตเข้าไปนะคะ”


“เข้ามาได้เลยครับ”


ตอบกลับไปก่อนจะทำตัวให้ปกติที่สุด หญิงสาวเดินเข้ามาด้านในแต่ก็ยังเว้นระยะห่างระหว่างตนเองและท่านประธานไว้อย่างดี


“ดิฉันมาเอาเอกสารด่วนค่ะ พอดีไม่เห็นคุณดลภัทรอยู่ด้านหน้าเลยคิดว่ามาขอรับเองเลยจะดีกว่า”


“ผมขอเวลาทวนใหม่อีกสักรอบนะ”


มือบางหยิบแฟ้มเอกสารด่วนที่อยู่มุมโต๊ะมาเปิดอ่าน ด้วยความที่เป็นประธานบริษัท เชียร์เองก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี แต่จู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือร้อนของคนที่อยู่ในโต๊ะกำลังหยอกล้อกับส่วนอ่อนไหวที่สงบไปแล้วให้ตื่นขึ้นมาอีกรอบ


แกล้งกันชัดๆ ..


ดรีมกระตุกยิ้มเมื่ออีกฝ่ายก้มลงมาทำหน้าค้อนใส่ เขาใช้มือปลุกเชียร์น้อยให้ตื่นขึ้นมา แอบส่งเรียวลิ้นไปหยอกล้อส่วนหัวจนเชียร์แทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ มือบางเลื่อนมาดันหน้าเขาออกแต่มีหรือที่คนที่แกล้งจะยอม


“บอสเป็นอะไรรึเปล่าคะ หน้าดูแดงๆ ไม่สบายหรือเปล่า?”


“เปล่า อ๊ะ!”


ดรีมแกล้งเขาเพิ่มด้วยการแยกขาเขาออกแล้วส่งปลายลิ้นเข้าไปหยอกล้อกับช่องทางสีหวาน เชียร์เม้มปากแน่นพลางก่นด่าอีกคนอยู่ในใจ เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่านี่เป็นเวลางาน ไหงตอนนี้เป็นดรีมเองที่แกล้งเขาให้อยู่ในห้วงกามารมณ์ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้


“ป..เปล่า เอกสารนี่ด่วนมากไหม”


เสียงหวานกระท่อนกระแท่นเมื่อลิ้นของดรีมทำงานได้ดีเกินไป ลิ้นร้อนซุกซนไปทั่วส่วนอ่อนไหวของเขาทั้งเลียทั้งขบจนร่างบางแทบจะทนไม่ไหวอยู่รอมร่อ แต่เพราะไม่ได้อยู่กันสองต่อสองนั่นเลยทำให้เชียร์ต้องข่มอารมณ์เอาไว้


“ด่วนอยู่นะคะบอส..ต้องส่งให้ทางบริษัทของคุณเจษฎาค่ะ”


“เดี๋ยวผมเรียกมาเอาเอกสารอีกรอบได้ไหมครับ”


“คะ?”


“เดี๋ยวผมแจ้งให้คุณดลภัทรเรียกคุณมารับเอกสาร ไม่นานหรอก ผมขออ่านก่อน”


“เอ่อ..”


“อยากถูกไล่ออกเหรอ?”


“ค่ะๆ เดี๋ยวดิฉันมารับเอกสารคืนตอนเย็นนะคะ สวัสดีค่ะ”


ทันทีที่เธอออกจากห้องไป เชียร์ก็โวยใส่คนที่กำลังเล่นสนุกกับส่วนล่างของเขา แถมเขายังต้องไปดุพนักงานบัญชีทั้งที่ไม่ใช่เรื่องอีก 


ดรีมไม่สนใจแต่เลือกที่จะส่งนิ้วเข้าไปในช่องทางสีหวานจนเชียร์ต้องกัดปากเพื่อกลั้นเสียงร้อง เชียร์ขยับเก้าอี้ออกมาก่อนจะแยกขาให้กว้างขึ้นเพื่อให้อีกคนทำกิจกรรมได้ถนัด


“อ๊ะ! พี่ดรีม! ทำไมทำแบบนี้”


“ก็อยากให้พี่รักไม่ใช่เหรอ”


“แต่นี่มันเวลางาน”


“เมื่อกี้ก็เวลางาน”


“พี่นี่มัน...”


“มัน...?”


“บ้า!”


.


หลังจากเหตุการณ์ที่บริษัท พวกเขาก็มาจบกันที่ห้องของดรีมที่อยู่ใกล้มากกว่า


เชียร์มองดรีมที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนรักก่อนจะระบายยิ้มออกมา มือบางเลื่อนไปลูบแก้มของคนที่หลับอยู่ก่อนจะกดจูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก


ร่างบางยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนจะต้องเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อความเจ็บปวดที่ส่วนล่างแล่นปราดเข้ามาโจมตี แม้จะเจ็บ แต่มันก็เป็นเซ็กซ์ที่หนักหน่วงถึงใจอย่างที่พวกเขาชอบ


ในที่สุดพวกเขาก็ได้คบกันในสถานะคนรักเสียที ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แม้มันจะทำให้เขาเสียน้ำตาไปบ้าง แต่ก็ถือว่าคุ้ม เพราะถ้าไม่ใช่ดรีม เชียร์เองก็ไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะสามารถคบหรือสามารถรักใครได้อีกไหม


ความจริงแล้วการที่จะทำให้ดรีมยอมขอเขาเป็นแฟนน่ะต้องกระตุ้น


เชียร์ได้รับความร่วมมือจากเจษเป็นอย่างดี เขาไม่เคยบอกดรีมว่าเขากับเจษเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนที่ต่างประเทศ จนกระทั่งกลับมาทำงานที่บ้านเกิด ก็ได้เจรจาธุรกิจกัน ต้องขอบคุณเจษที่แสดงละครเก่ง และขอบคุณดรีมเองที่ขี้หึง


แม้มันจะมีการแสดงอยู่บ้าง แต่เรื่องที่เขาร้องไห้เพราะเจ็บปวดจากดรีมนั้นเป็นเรื่องจริง เขาเจ็บปวดกับประโยคทำร้ายความรู้สึกของดรีมมาก เขาตัดสินใจว่าวันนี้จะสู้เป็นครั้งสุดท้าย หากไปต่อไม่ได้เขาก็จะหยุด เลยต้องให้เจษมาช่วยอีกครั้ง ซึ่งเขาก็แค่กระตุ้นให้คนขี้หึงอย่างดรีมพูดอะไรออกมาก็เท่านั้น


และสุดท้ายก็สำเร็จ


ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามความต้องการของเชียร์


พอนึกอะไรได้ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดส่งข้อความไปหาบุคคลสำคัญที่ช่วยให้ดรีมยอมปริปากขอเขาเป็นแฟน


ดรีมยอมขอเชียร์เป็นแฟนแล้ว ขอบคุณมากนะจ๋าย :) ’


ไม่นานนักก็มีข้อความตอบกลับมา


‘You’ re welcome :) แล้วก็อย่าลืมเอกสารผมนะครับท่านประธาน เลขาโทรไปตามแล้วยังไม่ได้ ทำอะไรกันอยู่?’


ธุระส่วนตัวของคนเป็นแฟน เจษคงไม่รีบใช่ไหม?’


อนุโลมให้ก็ได้ พรุ่งนี้รีบส่งเอกสารมานะ


โอเค! :) ’




• THE END •


- จบเถอะ555555 -

เป็นฟิคเก่างับ เก่ามากกกกก 5555

ไม่แน่ใจมีใครเคยอ่านมั้ยนะคะ 


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า คอมเม้นท์หรือส่งฟีดแบ็คให้กันได้น้าาา หรือทักเด็มมาส่งฟีดแบ็คก็ได้ค่ะแต่อย่าด่านะ555555